พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ได้ทรงเล่าพระราชประวัติของพระองค์ด้วยพระองค์เองงว่า “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์
แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง กูมีพี่น้องท้องเดียวกันห้าคน
ผู้ชายสามผู้หญิงโสง พี่เผื่อผู้อ้ายตายจากเผือ เตียม แต่ยังเล็ก...” ข้อความดังกล่าวไม่ระบุว่าทรงพระราชสมภพเมื่อใด
นักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่า พระองค์พระราชสมภาพประมาณปีจอ จุลศักราช ๖๐๐
(พ.ศ. ๑๗๘๑) หรือปีกุล จุลศักราช ๖๐๑ (พ.ศ. ๑๗๘๒) เพราะตามพงศาวดารเมืองเหนือ เช่น
พงศาวดารโยนกกล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระสหายรุ่นราวคราวเดียวกับ
พ่อขุนมังราย เจ้าเมืองเชียงใหม่และพ่อขุนงำเมือง เจ้าเมืองพะเยา
และเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือทรงศึกษาอยู่ในสำนักสุกกทันตฤษี ณ เมืองละโว้
(ลพบุรี) พงศาวดารและจดหมายเหตุเมืองเหนือระบุว่า พ่อขุนมังรายสมภาพในปีกุน
จุลศักราช ๖๐๑ (พ.ศ. ๑๗๘๒) และพ่อขุนงำเมืองสมภพในปีจอจุลศักราช ๖๐๐ (พ.ศ. ๑๗๘๑)
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทรงมีพระนามเดิมว่าขุนรามราช เมื่อทรงพระชนมายุได้ ๑๙ ปี
ได้ช่วยพระราชบิดาออกสู้รบในการสงครามกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด
ซึ่งยกทัพมาตีเมืองตาก
ทรงเป็นนักรบที่เข้มแข็งสามารถเข้าชนช้างชนะขุนสามชนพวกเมืองฉอดจึงแตกพ่ายไป
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงให้พระนามแก่ขุนรามราช “พระรามคำแหง” ซึ่งหมายความว่า “พระรามผู้เข้มแข็ง”
หรือ “เจ้ารามผู้เข้มแข็ง” ดังข้อความความในตอนหนึ่งในศิลาจารึกหลักที่
๑ ที่ว่า “...เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาที่เมืองตาก พ่อกูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา
ขุนสามชนเกลื่อนเข้าไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพายจแจ๋น กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล
กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสาม
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทรงเป็นกุลบุตรที่ดีอยู่ในโอวาทของพระราชบิดา พระราชมารดา และทรงเป็นพระอนุชาที่จงรักภักดีต่อขุนบานเมืองพระเชษฐา
ดังข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่ว่า “...กูบำเรอพ่อกู
กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อปลา กูเอามาแก่พ่อกู
กูได้หมากส้มหมากหวานอันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่าบ้านท่าเมือง
ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นางได้เงือนได้ทองกูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตาย ยังพี่กู
กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู...”
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงในราวปี พ.ศ. ๑๘๒๒ รัชสมัยของพระองค์
บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ ในราชวงศ์พระร่วงราชอาณาเขตแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางประชาชนได้รับความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้าที่เรียกกันว่า
“ไพร่ฟ้าหน้าใส” การพาณิชย์เจริญก้าวหน้าทรงทำนุบำรุงศิลปะวิทยาการให้เจิรญรุ่งเรืองหลายประการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น